วัดนาควาย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
วัดนาควาย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
พระเจ้าใหญ่แสนล้าน สร้างปี พ.ศ. 2554 ติดด้วยเหรียญบาทรัชกาลที่ ๙ จำนวน 111,109 เหรียญ องค์พระปูนปั้น บรรจุด้วยพระบรมสารีริธาตุประดิษฐานอยู่ภายในศาลาการเปรียญวัดนาควาย
ประวัติวัดนาควาย
เดิมวัดนาควาย “ชื่อวัดบ้านหนองผักแฮด’’ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านนาควายในปัจจุบันนี้ คือ อยู่ทางทิศเหนือของกองบิน 21
วัดนาควาย ในปัจจุบันนี้สร้าง พ.ศ.ใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 200 ปี เดิมวัดนาควายมีเนื้อที่ 8 ไร่เศษเท่านั้น ต่อมาชาวบ้าน 10 หลังคาเรือน ก็ได้พร้อมใจกันก่อสร้าง “สิม’’ขึ้นโดยมีพระอาจารย์ทา หรือชาวบ้านเรียก “ยาคูทา’’เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง สร้างเมื่อพ.ศ.ใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทราบแต่ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2410 ได้ประกาศเป็นพัทธสีมา ดังปรากฏอยู่ในทะเบียนวัด ต่อมาคุณพ่อกำนันพร อาษาพล กำนันตำบลขามใหญ่ในขณะนั้น จึงได้ชักชวนชาวบ้านซื้อที่ดินถวายวัดอีก 5 ไร่ รวมเนื้อที่ทั้งหมดในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 13 ไร่ 1 งาน 95 ตารางวา
เส้นทาง
จากตัวบริเวณแยก ม.ราชภัฏอุบลราชธานี ในตัวจังหวัดและในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี ใช้ถนนชยางกูรมุ่งหน้าขึ้นทิศเหนือ ประมาณ 1.7 กิโลเมตร จะพบถนนสุขาสงเคราะห์ทางขวามือ (ต้องกลับรถเพื่อเข้าถนนนี้)แล้วเข้าถนนประมาณ 600 เมตร จะพบวัดนาควาย ทางซ้ายมือ ตั้งระหว่างซอยสุขาสงเคราะห์9 กับซอยสุขาสงเคราะห์11
อุโบสถ (สิม) สร้างโดยทาคูทาและชาวบ้านนาควาย ไม่ปรากฏปีที่สร้าง มีลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่ออิฐ ฉาบปูนฐานเอวชันวสูง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ขนาดกว้าง 5.50 เมตร ยาง 9.00 เมตร มีมุขและประตูขึ้นทางด้านหน้า ผนังด้านข้างทิศเหนือ-ใต้ มีหน้าต่างด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงห์ ทำด้วยไม้แกะสลัก มีคันทวยไม้แกะสลัก ด้านข้างอาคาร ข้างละ 5 ตัว พร้อมเต้ารับ
ภายในสิมประดิษฐานพระประธานบนฐานชุกชี ก่ออิฐ ฉาบปูนผนังภายในทั้ง 4 ด้าน มีภาพจิตรกรรมเขียนเล่าเรื่องพุทธประวัติ ส่วนผนังด้านหน้ามีภาพจิตรกรรมเช่นเดียวกัน กำหนดอายุการสร้างอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ อิทธิพล
ศิลปะพื้นบ้านอีสาน
ต่อมากรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนพิเศษ 85 หน้า 52 กำหนดพื้นที่ ประมาณ 1 ไร่ 67 ตารางวาและบูรณะซ่อมแซมเมื่อปี พ.ศ. 2554
ต่อมาปี พ.ศ. 2553 มีการบูรณะอีกครั้งหนึ่ง ภายในผนังมีจิตกรรมฝาผนังทีมีคุณค่า โดยจิตรกรรมฝาผนังเขียนเป็นภาพเทพชุมนุมพุทธประวัติ ตอนผจญมารและปรินิพพาน ภาพชาดก ได้แก่ ปาจิตต์กุมารชาดก และมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ต่างๆ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นสภาพสังคม วิธีชีวิต ความเป็นอยู่ ความเจริญของเมือง การประกอบอาชีพ การละเล่น พิธีกรรม การแต่งกาย ทรงผม นอกจากชาวบ้านพื้นถิ่นอีสานและคนลาวแล้ว ยังแสดงภาพชาวต่างชาติ ทั้งจีน ฝรั่ง แขก ซึ่งเข้ามามีบทบาทในประเทศสมัยนี้อีกด้วย
อุโบสถหลังใหม่
วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2537 พระครูโสภณขันตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนาควาย จึงได้ประชุมปรึกษาหารือกับชาวบ้านว่าจะสร้างอุโบสถหลังใหม่ เพราะอุโบสถหลังเก่านั้นทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทเบียนไว้แล้ว ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำเนินการก่อสร้าง ประธานดำเนินการก่อสร้างคือพระครูโสภณขันตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนาควาย ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างได้รับการสนับสนุนจากพระราชวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโท) และชวบ้าน อุโบสถหลังนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2544 รวมระยะเวลา 7 ปี
------------------------------------------------
วัดนาควาย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
หลักฐานจากคำบอกเล่า ได้กล่าวถึงการก่อตั้งชุมชนบ้านนาควายว่า ก่อตั้งหลังจากที่พระวรราชสุริยวงศ์หรือท้าวคำผง ได้ขอพระราชทานอนุญาตก่อสร้างเมืองอุบลราชธานี โดยประชาชนที่ติดตามมาได้หาสถานที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างเมืองอุบลราชธานี โดยประชาชนที่ติดตมมได้หาสถานที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างหมู่บ้าน โดยมีการตั้งเสาหลักบ้านไว้ริมหนองฮาง ชาวบ้านนาควายเคารพนับถือในนาม “เจ้าปู่’’ โดยแรกเริ่มก่อสร้างหมู่บ้านมีบ้านเรือนประมณสิบหลังคา เมื่อหมู่บ้านได้ขยายแลมีจำวนหลังคาเรือนมากขึ้นพอสมควร ชาวบ้านจึงได้สร้างวัดขึ้น เรียกว่า “วัดนาควาย’’ มีเจ้าอาวาสรูปแรก คือ “หลวงปู่แดง’’ ภายในวัดนาควายมีเสนาสนะที่สำหรับได้แก่
ศาลาการเปรียญ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๗ ภายในศาลาการเปรียญประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญชองวัดนาควาย คือพระเจ้าแสนล้าน เป็นประธานที่ประดิษฐานภายในศาลาการเปรียญ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๔ และเสร็จสิ้น พ.ศ.๒๕๕๕ ภายในองค์พระเจ้าแสนล้านบรรจุวัตถุมงคลและพระพุทธรูปสำคัญประจำวัดนาควาย นอกจากนี้พระเจ้าแสนล้านยังมีความพิเศษคือ ใช้การประดับตกแต่งด้วยการติดเหรียญบาท ที่ผลิตในรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมภูมิพลอดุลยเดช จำนวน ๑๑๑,๙๙๙ บาท
สิม (อุโบสถ) หลังเก่า หลังเก่าของวัดนาควาย สร้างโดยยาคูทาและชาวบ้านนาควาย ไม่ปรากฏปีที่สร้าง แต่จากคำบอกเล่า ได้กล่าวว่า สร้างโดยยาคูทา เจ้าอาวาสวัดนาควายองค์ที่ ๒ คือ ยาคูทา ได้นำชาวบ้านก่อสร้างสิม (อุโบสถ)ขึ้น มีขนาด ๑๑ ศอก ๑ คืบ ในช่วงหลังสิมวัดนาควายได้รับการซ่อมแซมต่อเติมส่วนหน้า เมื่อกรมศิลปากรเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๐ ได้นำส่วนต่อเติมออก ปัจจุบันสิม(อุโบสถ) วัดนาควาย เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด กว้าง ๕.๕ เมตร ยาว ๙.๐๐ เมตร เป็นอาคารก่ออิฐ ฉาบปูน ลักษณะฐานประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ด้านบนปล่อยโล่ง มีบันไดทางขึ้นและประตูเข้าสู่ภายในสิม(อุโบสถ) เพียงด้านเดียว ห้องหลักที่ใช้ประกอบพิธีของสิมเป็นห้องผนังทึบทั้งสี่ด้าน โดยด้านทิศเหนือและทิศใต้มีการเจาะช่องหน้าต่างด้านละ ๑ ช่อง ประตูสิมอยู่ด้านทิศตะวันออก หลังคาสิมเป็นหลังคาทรงจั่วเดิมมุงด้วยแป้นเกล็ด ตกแต่งด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางส์หินึ่งทำจากไม้แกะสลัก มีคันทวยไม้แกะสลักประดับด้านข้างอาคารข้างละ ๕ ตัว พร้อมเต้ารับ ภายในสิมประดิษฐานพระประธานบนฐานชุกชีซึ่งเป็นฐานก่ออิฐฉาบปูน
จิตกรรมฝาผนังสิม (อุโบสถ) หลังเก่าวัดาควาย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
จิตรกรรมฝาผนัง สิม (อุโบสถ) หลังเก่า วัดนาควาย ไม่มีประวัติว่าผู้ใดเป็นผู้เขียนและเขียนขึ้นเมื่อใด ภาพจิตรกรรมที่ผนังทั้งด้านนอกและด้านในสิมโดยผนังด้านนอกมีภาพที่บริเวณผนังเหนือกรอบประตูทางเข้า ส่วนด้านในมีจิตกรรมฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน
จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนอยู่ผนังด้านนอก เหนือกรอบประตูนั้น เป็นการเขียนภาพบนพื้นขาว ขอบภาพเขียนโดยใช้สีดำ สีเติมหรือระบายเป็นสีเหลืองนวล เขียว และดำ ลักษณะการเขียนภาพเป็นภาพผสมผสานระหว่างพุทธประวัติและวิถีชีวิต โดยภาพหลักของผนังส่วนบน เป็นภาพพุทธประวัติ ตอนมารผจญ จิตรกรเขียนเป็นภาพพุทธเจ้าประทับปางสมาธิ มีพระแม่ธรณีบีบมวยผม เพื่อให้น้ำมาขับไล่ทั้งยักษ์ มารที่เข้ามาผจญ ก่อกวนพรพุทธองค์ ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ ด้านล่างถัดลงมาเป็นภาพสตรีสวมชฎา ๓ ตน ทางด้านขวา และภาพสตรีชราหลังค่อมอยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งอาจหมายถึง ธิดาพญามารแปลงกายเพื่อมายั่วยวนพระพุทธองค์ แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้พ่ายกลับร่างกลายเป็นหญิงชราไปในที่สุด ถัดลงมาเป็นภาพวิถีชีวิต มีภาพชาวอีสานเป่าแคนและฟ้อนรำ และภาพวงปี่พาทย์ของทางภาคกลางอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีภาพบุคคลที่เป็นเอกเทศ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวใด ได้แก่ภาพบุคคลที่แต่งตัวคล้ายป็นคนเชื้อสายจีน
สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในสิมนั้นเป็นภาพจิตรกรรมที่มีการลงสีพื้นหลังโดยสีหลักที่ใช้ลงพื้นคือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว หากแต่ผนังด้านทิศใต้ และผนังด้านทิศตะวันออกฝั่งเหนือนั้น สันนิษฐานว่าภาพคงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พื้นหลังเป็นสีขาว ยังไม่มีการเติมหรือระบายสีพื้นหลัง และภาพองค์ประกอบขาดหาย ในส่วนช่องกลางของผนัง เป็นภาพพระภิกษุสงฆ์เดินทางกลางป่า เพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงค์ และส่วนผนังด้านทิศตะวันออกฝั่งเหนือ เป็นภาพพุทธประวัติก็ยังคงเป็นพื้นหลังขาวไม่มีการเติมหรือระบายพื้นหลังเช่นกัน
ภาพจิตรกรรมภายในสิม เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ โดยมีการเรียงลำดับเหตุการณ์ เริ่มจากผนังด้านทิศตะวันออก ด้านเหนือ และเวียนซ้ายจนมาบรรจบที่ตอนปรินิพพานที่ผนังด้านทิศใต้
นอกจากภาพเขียนแล้ว ตัวอักษรที่ปรากฏบนฝาผนังก็นับว่าเป็นหลักฐานที่น่าสนใจ ทำให้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับผู้เขียนภาพหรือจิตรกรได้บางส่วน กล่าวคือ ตัวอักษรที่เขียนบรรยายหรือประกอบภาพจิตรกรรม ที่ผนังด้านนอกนั้น เป็นการเขียนโดยใช้อักษรไทน้อย แม้ว่าจะลบเลือน และจับใจความได้บางส่วน หากแต่ ตัวอักษรที่พบในภาพจิตรกรรมที่ผนังด้านในนั้นส่วนใหญ่เป็นตัวอักษรไทย เมื่อพิจารณาจากภาพซึ่งมีทั้งวงดนตรีปี่พาทย์ของทางภาคกลาง วงแคนของทางอีสาน ผนวกกับตัวอักษรที่พบบนจิตรกรรมฝาผนัง เราสามารถที่จะกล่าวได้ว่า ผู้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้น่าจะมีทั้งจิตรกรหรือช่างจากกรุงเทพฯและช่างท้องถิ่น